Tuesday, February 20, 2007

Love at first sight & Lust at first sight




1
"เชี่ย! นี่มันชีวิตกูชัดๆ!"
เมื่อคืนเป็นอีกคืนที่ผมปล่อยตัวเองไปกับโลกของ Sex & the City (อย่าถามเลยว่าผมเหมือนใครในเรื่องนี้ ฮ่าๆๆ!) ตอนที่ผมดูชื่อ ‘Chicken Dance’ ว่าด้วยเรื่องเพื่อนของชาร์ล็อตซึ่งตกหลุมรักคู่เดทของมิแรนด้าทันทีที่พบ และในอีก 2 อาทิตย์ต่อมา เขาและเธอก็ตกลงแต่งงานกันอย่างสายฟ้าแลบ แครีเล่าเรื่องนี้ให้บิ๊กฟัง คำพูดของบิ๊กทำเอาผมเก็บไปคิดวนเวียนอยู่ทั้งคืน
“I don’t believe in love at first sight but I believe in lust at first sight”
จบประโยคนี้ปั๊บ ก็ตัดเป็นความคิดเห็นของสาวๆหลายๆคน ผู้หญิงคนหนึ่งพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า
“คนที่ไม่เชื่อในรักแรกพบก็เพราะเขายังไม่เคยเจอกับตัวเองน่ะสิ”

2
บ่ายแก่ๆของวันอังคารที่น่าเบื่อ ผมนั่งทำงานอยู่เงียบๆ จำไม่ได้ว่าพี่ๆที่นั่งเม้าท์อยู่ใกล้ๆคุยกันเรื่องอะไรอยู่ แต่มีประโยคหนึ่งจากบก.ที่ดันมาสะดุดหูผมเอาจังเบ้อเร่อ และผมก็อดคิดถึงมันไม่ได้
“ผู้ชายไม่ต้องการความรักหรอก แค่ต้องการเซ็กส์และความเข้าใจเท่านั้นเอง”


3
เท่าที่ผมเห็น ผู้ชายมักสามารถแยกความรักและความใคร่ได้อย่างชัดเจน ผู้ชายมีผู้หญิงได้หลายคน และแต่ละคนล้วนมีตำแหน่งแห่งที่อยู่ในใจของผู้ชาย เช่น ผู้หญิงคนนี้มีไว้เพื่อบูชา ผู้หญิงคนนี้มีไว้เป็นนางบำเรอ ส่วนผู้หญิงคนนั้นมีไว้เป็นภรรยา ฯลฯ ในขณะที่ผู้หญิงถูกสอนให้หลอมรวมความรักกับความใคร่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่น ผู้หญิงมักเชื่อว่าต้องมีเซ็กส์กับผู้ชายที่เธอรักเท่านั้น ผู้หญิงจึงใช้เซ็กส์เป็นเครื่องแสดงว่าเธอรักใครสักคนแล้ว และพร้อมจะเป็นของของเขา (ซึ่งเอาจริงๆ เธอไม่ใช่ “ของ” และเธอก็ไม่ใช่ “ของใคร” สักกะหน่อย)

ไม่ได้บอกว่าใครดีหรือไม่ดีกว่ากัน เพียงแต่ผมรู้สึกว่า ทั้งรักและใคร่มันน่าจะมาเป็นเนื้อเดียวกันไม่ใช่หรือ (หมายถึงในความสัมพันธ์แบบผัวเมียน่ะนะ) มันคงไม่ได้แยกกันเป็นขาวกับดำได้หมดหรอก ซึ่งนั่นแปลว่า รักไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐที่สุด และใคร่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวทรามที่สุด ผมนึกไม่ค่อยออกว่ารักแบบไม่มีใคร่เป็นอย่างไร ยังไงมันก็มีความใคร่เจืออยู่ เพียงแต่จะมากจะน้อยเท่านั้นเอง

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าของมันมาคู่กันจริง แล้วเราจะอธิบายความสัมพันธ์แบบใคร่ล้วนๆซึ่งมีอยู่จริงได้อย่างไรล่ะ เราเชื่อกันว่าความสัมพันธ์แบบใคร่ล้วนๆไม่มีวันยืดยาว เพราะไม่ได้มีความรักเกาะเกี่ยวผูกพันกันอยู่ แต่เคยได้ยินความสัมพันธ์แบบ ‘Fuck buddy’ ไหมครับ Fuck buddy ก็คือคู่เดทที่ดูท่าว่าจะไปไม่รอดในเรื่องรัก แต่เข้าขากันดีเหลือเกินเวลาอยู่บนเตียง คุณทั้งสอง (อย่างน้อยก็สอง!) จึงเกี่ยวพันกันด้วยเซ็กส์ (ที่ไม่มีรัก?) และเท่าที่ผมทราบ Fuck buddy หลายคู่ก็ยังคงเป็น buddy ได้ยาวนานทีเดียว บางที Fuck buddy ก็อาจจะเป็นเหมือนที่พี่บก.บอกว่า ไม่ต้องการความรัก แต่ต้องการเซ็กส์และความเข้าใจเท่านั้นเอง

4
ผมเคยมีทั้ง Love at first sight และ Lust at first sight ผมคิดอย่างบิ๊กว่า Lust at first sight มีจริง แต่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เรารู้สึกในวินาทีที่สองสายตาประสานกันมันคือ Love หรือ Lust กันแน่ ถ้าความรักคือความรู้สึกกำซาบลึกซึ้ง คนเราจะสามารถรักใครทันทีเชียวหรือ ผมคิดเอาเองว่าไอ้ความรู้สึกนั้นมันน่าจะเป็น Lust at first sight เพียงแต่ Lust นี้มันอาจจะต่างจาก Lust อื่นๆที่เคยพบ อาจเป็น Lust ที่วางตัวอยู่ใกล้ Love สักหน่อยจนพัฒนาเป็น Love ได้ ผมคิดว่าความรักจะเกิดขึ้นได้น่าจะต้องใช้เวลามากกว่าเพียงชั่ววินาทีของสายตา แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมคิดว่าทั้งรักและใคร่ก็ต้องการความเข้าใจมาค้ำยันให้ความสัมพันธ์ไปด้วยกันได้

เคยมีนักวิทยาศาสตร์พูดว่า ทั้งความรักและความใคร่ก็เกิดจากการหลั่งสารเคมีในสมองเหมือนกันนั่นแหละ

คุณยังจะรักผมไหมครับ ถ้าความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้คุณเกิดจากต่อมในสมองมันดันสั่งการให้เป็นแบบนั้น...เท่านั้นเอง

Tuesday, February 13, 2007

เรื่องของเรา (เรอะ!?)


ถึง…”ความรัก”

เดาอย่างไม่ต้องเดา วันที่ 14 กุมภานี้คงทำให้ระดับน้ำตาลในหัวใจของใครหลายคู่พุ่งพรวด ซึ่งเป็นผลให้อุณหภูมิของดวงตาอีกหลายคู่สูงขึ้นจนคล้ายธาตุไฟจะแตกไปตามกัน ก็เพราะเธอคนเดียวเชียวแหละ!

นี่ยิ่งเขยิบใกล้วันแห่งความรักเข้ามาเท่าไร คำถามประเภท “จะทำอะไรในวันวาเลนไทน์” ยิ่งถูกถามดังมากขึ้นจนฉันเอียน ดูสิ! ใครๆก็พูดถึงแต่เธอๆๆๆทั้งน้าน... กวาดตาอ่านนิตยสารก็จะเจอวิธีการเลือกของขวัญเพื่อเซอร์ไพรส์แฟน ไปจนถึง...คนโสดจะอยู่อย่างไรในวันแห่งความรัก (อ๊ายส์! มันถึงขนาดต้องคิดว่าจะ “อยู่อย่างไร” เชียวเรอะ!)

ครั้นหนีไปฟังวิทยุก็คงไม่พ้นเพลงรักช้าซึ้งคอยตามสะกดจิตอยู่ทุกคลื่น ส่วนรายการโทรทัศน์ก็จะเต็มไปด้วยคู่รักดาราออกมาเล่าประสบการณ์ความรักอันหวานชื่นฉ่ำแฉะให้คนดูอิจฉาเล่น (ตอนเลิกกันก็ออกมาเจื้อยแจ้วแบบนี้บ้างเซ่)

และเชื่อสิ ฉันเอาหัวเน่าๆเป็นประกัน มันต้องมีใครสักคนทะลึ่งพูดว่า “ส่วนคนโสดก็อย่างเสียใจไปนะคะ...บลาๆๆ คริๆๆๆ” เชอะ! พูดมาได้!

เอาล่ะ ที่ฉันเขียนจดหมายมาหาเธอในวันนี้ ฉันแค่อยากจะชวนเธอทะเลาะ เอ้ย! ชวนเธอคุยด้วยสักหน่อย ทำไมเวลาพูดถึง “ความรัก” ทีไร คนมักตีวงความหมายอยู่แค่เรื่องของคน 2 คนแบบผัวเดียวเมียเดียวโดยอัตโนมัติ เราเชื่อ (และถูกทำให้เชื่อ) ว่าความรักคือสิ่งบริสุทธิ์ โดยมีชีวิตคู่ที่รักกันยืนยาวราวนิรันดร์คือนิพพานสูงสุดของความสัมพันธ์ที่แม้ความตายก็มิอาจพราก ส่วนการไร้คู่ถือเป็นความน่าเจ็บปวด น่าละอายและน่าเหยียดหยามในคราวเดียวกัน (มาเป็นแพ็คเกจ)

ถ้าการลงเอยด้วยชีวิตคู่คือจุดสุกงอมของความสัมพันธ์ และดอกผลของความรักคือทายาทสืบสกุลจริงล่ะก็ ฉันขอถามหน่อยเถอะว่า แล้วเธอจะอธิบายตัวเองอย่างไร ในเมื่อเงื่อนไขของการแต่งงานของคนสมัยก่อนไม่ใช่เป็นเพราะคนสองคนมารักกัน ฉันเป็นของของเธอ คู่แท้ที่หาจนเจอ แต่เป็นเพราะต้องการแรงงาน (ลูก) มาเพิ่มผลผลิตในท้องไร่ท้องนา ไปจนถึงเพื่อรักษาและคานอำนาจของบ้านเมือง เช่น เจ้าเมืองยกลูกสาวให้กษัตริย์ แสดงถึงความจงรักภักดีของเมืองขึ้น การที่กษัตริย์ในสมัยก่อนจะมีชายาเป็นสิบเป็นร้อยจึงไม่ใช่เรื่องความตัณหาจัดมักมากในกาม แถมเขายังถือว่าเป็นเมียน้อยเจ้าพระยายังมีหน้ามีตามากกว่าเป็นเมียหลวงไพร่ชั้นเลวเสียอีก การแต่งงานจึงเป็นเครื่องเบ่งอำนาจของคนสมัยนั้นด้วย อ๊ายส์! ฟังแล้วไม่โรแมนติคเลยสักกะติ๊ด!

ถ้าคนสมัยนั้นแต่งงานกันด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่เพราะเธอ แล้วสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นความรักเกิดขึ้นอย่างไรในประวัติศาสตร์ เอาล่ะ ไม่ใช่ฉันไม่เชื่อว่าความรักมีอยู่จริงบนโลก เพียงแต่ฉันอยากรู้ว่า ความรักแบบที่คนปัจจุบันนิยามไว้ให้เธอน่ะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร และวางตัวในบริบทใดของสังคม

ฉันเชื่อของฉันว่า โลกทัศน์ของความรักแบบชั่วฟ้าดินสลายเป็นมรดกตกทอดมาจากยุควิคตอเรียน เรื่องเพศส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็สืบเนื่องจากยุคนี้ทั้งนั้นแหละ ทั้งเรื่องระบบผัวเดียวเมียเดียว การให้คุณค่ากับสาวพรหมจรรย์ การมองเรื่องเพศเป็นเรื่องผิดบาป และอีกสารพัด พี่ไทยเราน่ะมาโมเมเองทั้งเพ เคลมว่าเป็นของไทยแท้แต่โบราณซะได้! ยุคนั้นเขาเคร่งครัดเรื่องเซ็กส์จะตาย เซ็กส์ที่ไม่ได้ทำให้เกิดลูกถือเป็นความนอกรีต เซ็กส์ของเกย์ เซ็กส์ของคนโสด ก็เลวร้ายไปหมดนั่นแหละเธอ เขาถือผู้หญิงจะถือว่าเป็น “คน” ได้ก็เมื่อแต่งงานมีลูกนั่นแหละ ในเมื่อการมีคู่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึก (คือไม่ต้องรอให้รักใครก่อนแล้วค่อยแต่งงานกัน) แต่เป็นเพราะความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง คนสมัยนั้นเลยไม่ต้องมานั่งกังวลเท่าคนรุ่นฉันไง ไม่ทันไรก็โดนจับแต่งงานหมดแล้ว

แม้แต่การแพทย์สมัยนั้นยังถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมประชากรเลยนะเธอ ก็มีอย่างที่ไหน เป็นโสดอยู่ดีๆ หมอก็ดันมาบอกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์หรือไม่ได้มีบุตร ต่อไปจะเป็นโรคในช่องคลอดได้ ฉันเกิดเป็นผู้หญิงสมัยนั้นคงปวดหัวตายเลย จะมีเซ็กส์ก็ห้าม จะไม่มีเซ็กส์ก็ห้าม ตกลงจะเอายังไงแน่ล่ะเพ่!

เมืองไทยหลังยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เช่นกัน เรารณรงค์ให้คนมีลูกกันเยอะๆ เพราะเชื่อว่าการมีประชากรมากๆแสดงถึงความมั่งคั่งของประเทศ แถมยังจะช่วยให้มีแรงงานเพิ่มขึ้นอีก อ้าว! แล้วจะทำยังไงได้ล่ะถึงจะมีลูก (แบบที่ไม่ต้องโดนด่าด้วย) ก็ไม่พ้นอีหรอบเดิมว่าต้องแต่งงานอีกนั่นแหละ

ความคิดเรื่องการอยากให้คนมีคู่ยังสืบทอดมาถึงปัจจุบัน วรรณกรรมน้ำเน่าทั้งหลายเป็นหลักฐานที่ดีว่า จุดหมายปลายทางของพระเอกและนางเอกคือการแต่งงาน ใครๆก็อยากเป็นอย่างพระเอกนางเอกทั้งนั้นแหละ สิ่งเหล่านี้ยิ่งสร้างให้สถาบันการแต่งงานมีอำนาจมากขึ้น และมากพอจะหักหาญเอาชีวิตของหลายคนเป็นตัวประกันได้เลยทีเดียว

นอกเหนือจากนั้น ตัวละครที่เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในชีวิตคนปัจจุบันคือความเหงา ถ้าแรงผลักดันที่ทำให้คนในปัจจุบันอยากถีบตัวเองจากสถานะโสดคือความเหงา ฉันชักอยากรู้แล้วสิว่าความเหงาแบบปัจจุบันมันแทรกตัวเข้ามาได้อย่างไร เพราะฉันรู้สึกว่าเราเพิ่งมีเพลงเกี่ยวกับความเหงา บทกวีเหงาๆ และหนังรักขายอารมณ์เหงาอย่างเป็นกิจจะลักษณะก็เมื่อไม่กี่สิบปีนี้เท่านั้นเอง

อาจเป็นเพราะความเจริญที่กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองใหญ่นี่ล่ะมั้ง ทำให้สมาชิกครอบครัวใหญ่ในชนบทต้องออกมาตั้งรกรากใหม่คนเดียวลำพังในเมือง ความเป็นครอบครัวใหญ่อย่างในอดีตจึงเลือนรางไปจากสังคมไทยเข้าไปทุกที เลยเถิดไปถึงความเจริญทางวัตถุที่ทำให้คนเราเบาหวิวทางจิตวิญญาณอีกนั่น เหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ คนรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น และมันช่างโป๊ะเชะกับอารมณ์อยากมีแฟนขึ้นมาพอดิบพอดีเหมือนผีเน่ากับโลงผุ คู่หนุ่มกับตุ่มชั่ว

เหตุผลหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ชอบใช้เพื่ออธิบายหน้าที่ของการมีคู่ก็คือ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ฉันฟังแล้วขำก๊าก พูดยังกะคุณยายวรนาทพ่นตะขาบถ่ายทอดทายาทอสูร ฉันอยากจะถามคนสมัยก่อนและสมัยนี้เหมือนกันว่า ไอ้ที่แต่งงานกัน ไอ้ที่ผสมพันธุ์กันน่ะ คิดถึงขนาดกลัวมนุษย์จะหมดโลกเชียวเรอะ!

ฉันเลยชักไม่แน่ใจแล้วสิว่า ไอ้อาการอยากมีแฟนจริงๆมันเกิดจากความรู้สึกข้างในจริงๆของเราหรือเปล่า ผู้คนโหยหาเธอเพราะต้องการเธอจริงๆ หรือที่แท้มันเป็นแค่การถูกกระแสปั่นให้เราอยากมีใครสักคนเพื่อตอบสนองกับระบบบางอย่างของสังคมเท่านั้น

ถ้าการแต่งงานไม่ได้มีคุณค่าอย่างที่เราเคยเชิดชูบูชา แต่เป็นเราต่างหากที่ไปปลุกเสกให้มัน"ขลัง" ทั้งที่มันเคยเป็นเพียงแค่การ “เอา” กันเพื่อหาคนมาทำไร่ไถนาเพิ่ม เป็นเพียงแค่การ “เอา” กันเพื่อต่อรองผลประโยชน์บางอย่าง เป็นแค่การ “เอา” กันเพื่อรับใช้ระบบสังคมอย่างหนึ่งเท่านั้น มันจะมีความหมายอะไรให้เราเฝ้าคร่ำครวญยามที่ไม่มีใคร และจะทนแบกมันไว้กดทับตัวตนของเราทำไมล่ะฟะ!

ความรักสูงส่งขนาดนั้นถึงขนาดที่เราต้องเอาเป็นหลักชัยในชีวิตเชียวหรือ หรือที่จริงมันก็แค่เครื่องมือที่ถูกปั่นมูลค่าเพิ่มเพื่อประโยชน์บางอย่าง และถ้าความรู้สึกอยากมีใครที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ในวันแห่งความรักนี้มันเป็นเรื่องที่ถูกปรุงแต่งจากสังคมทั้งหมด (เอาวะ! อย่างน้อยก็ขายเพลงรัก หนังรักได้เงินสะบัด!) แม้กระทั่งตัวเธอเองก็เถอะก็คือสิ่งที่พวกฉันสร้างขึ้น เธอจะว่ายังไงล่ะ ฮึ!

ฉันถึงปฏิเสธว่าความรักไม่ใช่เรื่องของคน 2 คนหรอก แต่ยังเกี่ยวโยงไปถึงค่านิยมและวัฒนธรรมแต่ชาติปางไหนอีก ก็ลำพังไอ้การที่ “ฉันรักเธอ” แค่นี้ยังต้องลากไปเอาผลผลิตทางประวัติศาสตร์มาอธิบายกันเลย เธอยังคิดว่ารักเป็นเรื่องของคน 2 คนอีกเหรอ

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เธอคงยิ้มเยาะหาว่าเป็นเพราะฉันอกหักหรือหาคนมานอนออเซาะในวันวาเลนไทน์ไม่ได้ ฉันขอตอบเชิดๆแบบติ๊นาว่า เปล่าหรอกนะ (ยะ) ฉันไม่ได้อิจฉาคนที่รักกัน ฉันแค่อยากปอกเปลือกเปลือยความรักในแง่อื่นบ้าง ฉันเห็นคนไม่มีแฟนทั้งหลายบ่นอิดออดไม่อยากให้มีวันวาเลนไทน์แล้วเหนื่อยใจแทนเธอจริงๆว่ะ พอๆกับที่เห็นคนตักตวงกำไรจากวันนี้แล้วแอบเคืองนั่นแหละเธอ

ที่จริงมันก็อีแค่วันๆเดียวไม่ต่างกับอีก 364 วันที่เหลือ ฉันไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหน (นอกจากจะใช้เป็นข้ออ้างดีๆในการเสียตัวซักที--ซึ่งฉันไม่เห็นต้องใช้มันเล้ยย!)

นี่ถ้าฉันรู้ทันเธอซะแบบนี้ ฉันไม่เสียน้ำตาให้เธอสักหยดหรอก!

รักแกจริงจริ๊ง...พบผ่าสิ!

จาก...Toffy in Love