Tuesday, February 13, 2007

เรื่องของเรา (เรอะ!?)


ถึง…”ความรัก”

เดาอย่างไม่ต้องเดา วันที่ 14 กุมภานี้คงทำให้ระดับน้ำตาลในหัวใจของใครหลายคู่พุ่งพรวด ซึ่งเป็นผลให้อุณหภูมิของดวงตาอีกหลายคู่สูงขึ้นจนคล้ายธาตุไฟจะแตกไปตามกัน ก็เพราะเธอคนเดียวเชียวแหละ!

นี่ยิ่งเขยิบใกล้วันแห่งความรักเข้ามาเท่าไร คำถามประเภท “จะทำอะไรในวันวาเลนไทน์” ยิ่งถูกถามดังมากขึ้นจนฉันเอียน ดูสิ! ใครๆก็พูดถึงแต่เธอๆๆๆทั้งน้าน... กวาดตาอ่านนิตยสารก็จะเจอวิธีการเลือกของขวัญเพื่อเซอร์ไพรส์แฟน ไปจนถึง...คนโสดจะอยู่อย่างไรในวันแห่งความรัก (อ๊ายส์! มันถึงขนาดต้องคิดว่าจะ “อยู่อย่างไร” เชียวเรอะ!)

ครั้นหนีไปฟังวิทยุก็คงไม่พ้นเพลงรักช้าซึ้งคอยตามสะกดจิตอยู่ทุกคลื่น ส่วนรายการโทรทัศน์ก็จะเต็มไปด้วยคู่รักดาราออกมาเล่าประสบการณ์ความรักอันหวานชื่นฉ่ำแฉะให้คนดูอิจฉาเล่น (ตอนเลิกกันก็ออกมาเจื้อยแจ้วแบบนี้บ้างเซ่)

และเชื่อสิ ฉันเอาหัวเน่าๆเป็นประกัน มันต้องมีใครสักคนทะลึ่งพูดว่า “ส่วนคนโสดก็อย่างเสียใจไปนะคะ...บลาๆๆ คริๆๆๆ” เชอะ! พูดมาได้!

เอาล่ะ ที่ฉันเขียนจดหมายมาหาเธอในวันนี้ ฉันแค่อยากจะชวนเธอทะเลาะ เอ้ย! ชวนเธอคุยด้วยสักหน่อย ทำไมเวลาพูดถึง “ความรัก” ทีไร คนมักตีวงความหมายอยู่แค่เรื่องของคน 2 คนแบบผัวเดียวเมียเดียวโดยอัตโนมัติ เราเชื่อ (และถูกทำให้เชื่อ) ว่าความรักคือสิ่งบริสุทธิ์ โดยมีชีวิตคู่ที่รักกันยืนยาวราวนิรันดร์คือนิพพานสูงสุดของความสัมพันธ์ที่แม้ความตายก็มิอาจพราก ส่วนการไร้คู่ถือเป็นความน่าเจ็บปวด น่าละอายและน่าเหยียดหยามในคราวเดียวกัน (มาเป็นแพ็คเกจ)

ถ้าการลงเอยด้วยชีวิตคู่คือจุดสุกงอมของความสัมพันธ์ และดอกผลของความรักคือทายาทสืบสกุลจริงล่ะก็ ฉันขอถามหน่อยเถอะว่า แล้วเธอจะอธิบายตัวเองอย่างไร ในเมื่อเงื่อนไขของการแต่งงานของคนสมัยก่อนไม่ใช่เป็นเพราะคนสองคนมารักกัน ฉันเป็นของของเธอ คู่แท้ที่หาจนเจอ แต่เป็นเพราะต้องการแรงงาน (ลูก) มาเพิ่มผลผลิตในท้องไร่ท้องนา ไปจนถึงเพื่อรักษาและคานอำนาจของบ้านเมือง เช่น เจ้าเมืองยกลูกสาวให้กษัตริย์ แสดงถึงความจงรักภักดีของเมืองขึ้น การที่กษัตริย์ในสมัยก่อนจะมีชายาเป็นสิบเป็นร้อยจึงไม่ใช่เรื่องความตัณหาจัดมักมากในกาม แถมเขายังถือว่าเป็นเมียน้อยเจ้าพระยายังมีหน้ามีตามากกว่าเป็นเมียหลวงไพร่ชั้นเลวเสียอีก การแต่งงานจึงเป็นเครื่องเบ่งอำนาจของคนสมัยนั้นด้วย อ๊ายส์! ฟังแล้วไม่โรแมนติคเลยสักกะติ๊ด!

ถ้าคนสมัยนั้นแต่งงานกันด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่เพราะเธอ แล้วสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นความรักเกิดขึ้นอย่างไรในประวัติศาสตร์ เอาล่ะ ไม่ใช่ฉันไม่เชื่อว่าความรักมีอยู่จริงบนโลก เพียงแต่ฉันอยากรู้ว่า ความรักแบบที่คนปัจจุบันนิยามไว้ให้เธอน่ะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร และวางตัวในบริบทใดของสังคม

ฉันเชื่อของฉันว่า โลกทัศน์ของความรักแบบชั่วฟ้าดินสลายเป็นมรดกตกทอดมาจากยุควิคตอเรียน เรื่องเพศส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็สืบเนื่องจากยุคนี้ทั้งนั้นแหละ ทั้งเรื่องระบบผัวเดียวเมียเดียว การให้คุณค่ากับสาวพรหมจรรย์ การมองเรื่องเพศเป็นเรื่องผิดบาป และอีกสารพัด พี่ไทยเราน่ะมาโมเมเองทั้งเพ เคลมว่าเป็นของไทยแท้แต่โบราณซะได้! ยุคนั้นเขาเคร่งครัดเรื่องเซ็กส์จะตาย เซ็กส์ที่ไม่ได้ทำให้เกิดลูกถือเป็นความนอกรีต เซ็กส์ของเกย์ เซ็กส์ของคนโสด ก็เลวร้ายไปหมดนั่นแหละเธอ เขาถือผู้หญิงจะถือว่าเป็น “คน” ได้ก็เมื่อแต่งงานมีลูกนั่นแหละ ในเมื่อการมีคู่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึก (คือไม่ต้องรอให้รักใครก่อนแล้วค่อยแต่งงานกัน) แต่เป็นเพราะความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง คนสมัยนั้นเลยไม่ต้องมานั่งกังวลเท่าคนรุ่นฉันไง ไม่ทันไรก็โดนจับแต่งงานหมดแล้ว

แม้แต่การแพทย์สมัยนั้นยังถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมประชากรเลยนะเธอ ก็มีอย่างที่ไหน เป็นโสดอยู่ดีๆ หมอก็ดันมาบอกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์หรือไม่ได้มีบุตร ต่อไปจะเป็นโรคในช่องคลอดได้ ฉันเกิดเป็นผู้หญิงสมัยนั้นคงปวดหัวตายเลย จะมีเซ็กส์ก็ห้าม จะไม่มีเซ็กส์ก็ห้าม ตกลงจะเอายังไงแน่ล่ะเพ่!

เมืองไทยหลังยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เช่นกัน เรารณรงค์ให้คนมีลูกกันเยอะๆ เพราะเชื่อว่าการมีประชากรมากๆแสดงถึงความมั่งคั่งของประเทศ แถมยังจะช่วยให้มีแรงงานเพิ่มขึ้นอีก อ้าว! แล้วจะทำยังไงได้ล่ะถึงจะมีลูก (แบบที่ไม่ต้องโดนด่าด้วย) ก็ไม่พ้นอีหรอบเดิมว่าต้องแต่งงานอีกนั่นแหละ

ความคิดเรื่องการอยากให้คนมีคู่ยังสืบทอดมาถึงปัจจุบัน วรรณกรรมน้ำเน่าทั้งหลายเป็นหลักฐานที่ดีว่า จุดหมายปลายทางของพระเอกและนางเอกคือการแต่งงาน ใครๆก็อยากเป็นอย่างพระเอกนางเอกทั้งนั้นแหละ สิ่งเหล่านี้ยิ่งสร้างให้สถาบันการแต่งงานมีอำนาจมากขึ้น และมากพอจะหักหาญเอาชีวิตของหลายคนเป็นตัวประกันได้เลยทีเดียว

นอกเหนือจากนั้น ตัวละครที่เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในชีวิตคนปัจจุบันคือความเหงา ถ้าแรงผลักดันที่ทำให้คนในปัจจุบันอยากถีบตัวเองจากสถานะโสดคือความเหงา ฉันชักอยากรู้แล้วสิว่าความเหงาแบบปัจจุบันมันแทรกตัวเข้ามาได้อย่างไร เพราะฉันรู้สึกว่าเราเพิ่งมีเพลงเกี่ยวกับความเหงา บทกวีเหงาๆ และหนังรักขายอารมณ์เหงาอย่างเป็นกิจจะลักษณะก็เมื่อไม่กี่สิบปีนี้เท่านั้นเอง

อาจเป็นเพราะความเจริญที่กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองใหญ่นี่ล่ะมั้ง ทำให้สมาชิกครอบครัวใหญ่ในชนบทต้องออกมาตั้งรกรากใหม่คนเดียวลำพังในเมือง ความเป็นครอบครัวใหญ่อย่างในอดีตจึงเลือนรางไปจากสังคมไทยเข้าไปทุกที เลยเถิดไปถึงความเจริญทางวัตถุที่ทำให้คนเราเบาหวิวทางจิตวิญญาณอีกนั่น เหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ คนรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น และมันช่างโป๊ะเชะกับอารมณ์อยากมีแฟนขึ้นมาพอดิบพอดีเหมือนผีเน่ากับโลงผุ คู่หนุ่มกับตุ่มชั่ว

เหตุผลหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ชอบใช้เพื่ออธิบายหน้าที่ของการมีคู่ก็คือ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ฉันฟังแล้วขำก๊าก พูดยังกะคุณยายวรนาทพ่นตะขาบถ่ายทอดทายาทอสูร ฉันอยากจะถามคนสมัยก่อนและสมัยนี้เหมือนกันว่า ไอ้ที่แต่งงานกัน ไอ้ที่ผสมพันธุ์กันน่ะ คิดถึงขนาดกลัวมนุษย์จะหมดโลกเชียวเรอะ!

ฉันเลยชักไม่แน่ใจแล้วสิว่า ไอ้อาการอยากมีแฟนจริงๆมันเกิดจากความรู้สึกข้างในจริงๆของเราหรือเปล่า ผู้คนโหยหาเธอเพราะต้องการเธอจริงๆ หรือที่แท้มันเป็นแค่การถูกกระแสปั่นให้เราอยากมีใครสักคนเพื่อตอบสนองกับระบบบางอย่างของสังคมเท่านั้น

ถ้าการแต่งงานไม่ได้มีคุณค่าอย่างที่เราเคยเชิดชูบูชา แต่เป็นเราต่างหากที่ไปปลุกเสกให้มัน"ขลัง" ทั้งที่มันเคยเป็นเพียงแค่การ “เอา” กันเพื่อหาคนมาทำไร่ไถนาเพิ่ม เป็นเพียงแค่การ “เอา” กันเพื่อต่อรองผลประโยชน์บางอย่าง เป็นแค่การ “เอา” กันเพื่อรับใช้ระบบสังคมอย่างหนึ่งเท่านั้น มันจะมีความหมายอะไรให้เราเฝ้าคร่ำครวญยามที่ไม่มีใคร และจะทนแบกมันไว้กดทับตัวตนของเราทำไมล่ะฟะ!

ความรักสูงส่งขนาดนั้นถึงขนาดที่เราต้องเอาเป็นหลักชัยในชีวิตเชียวหรือ หรือที่จริงมันก็แค่เครื่องมือที่ถูกปั่นมูลค่าเพิ่มเพื่อประโยชน์บางอย่าง และถ้าความรู้สึกอยากมีใครที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ในวันแห่งความรักนี้มันเป็นเรื่องที่ถูกปรุงแต่งจากสังคมทั้งหมด (เอาวะ! อย่างน้อยก็ขายเพลงรัก หนังรักได้เงินสะบัด!) แม้กระทั่งตัวเธอเองก็เถอะก็คือสิ่งที่พวกฉันสร้างขึ้น เธอจะว่ายังไงล่ะ ฮึ!

ฉันถึงปฏิเสธว่าความรักไม่ใช่เรื่องของคน 2 คนหรอก แต่ยังเกี่ยวโยงไปถึงค่านิยมและวัฒนธรรมแต่ชาติปางไหนอีก ก็ลำพังไอ้การที่ “ฉันรักเธอ” แค่นี้ยังต้องลากไปเอาผลผลิตทางประวัติศาสตร์มาอธิบายกันเลย เธอยังคิดว่ารักเป็นเรื่องของคน 2 คนอีกเหรอ

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เธอคงยิ้มเยาะหาว่าเป็นเพราะฉันอกหักหรือหาคนมานอนออเซาะในวันวาเลนไทน์ไม่ได้ ฉันขอตอบเชิดๆแบบติ๊นาว่า เปล่าหรอกนะ (ยะ) ฉันไม่ได้อิจฉาคนที่รักกัน ฉันแค่อยากปอกเปลือกเปลือยความรักในแง่อื่นบ้าง ฉันเห็นคนไม่มีแฟนทั้งหลายบ่นอิดออดไม่อยากให้มีวันวาเลนไทน์แล้วเหนื่อยใจแทนเธอจริงๆว่ะ พอๆกับที่เห็นคนตักตวงกำไรจากวันนี้แล้วแอบเคืองนั่นแหละเธอ

ที่จริงมันก็อีแค่วันๆเดียวไม่ต่างกับอีก 364 วันที่เหลือ ฉันไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหน (นอกจากจะใช้เป็นข้ออ้างดีๆในการเสียตัวซักที--ซึ่งฉันไม่เห็นต้องใช้มันเล้ยย!)

นี่ถ้าฉันรู้ทันเธอซะแบบนี้ ฉันไม่เสียน้ำตาให้เธอสักหยดหรอก!

รักแกจริงจริ๊ง...พบผ่าสิ!

จาก...Toffy in Love

26 comments:

Unknown said...

สังคมเปลี่ยน ค่านิยมเปลี่ยนความเชื่อเปลี่ยน ความรักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการบังคับควบคุมมนุษย์มาตลอด

แต่ความรัก ไม่มีใครเอาเงื่อนไขหรือกฏเกณฑ์อะไรไปครอบมันไว้ได้หรอกครับ ถ้าเราเข้าใจมันอย่างแท้จริง
ละวางความเป็นตัวตนของเราออกไป ไม่มีเงือนไขไดๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ เพศ สถานะทางสังคม มันเป็นแค่เรื่องของวิญญานสองดวงที่มีความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ให้แก่กันเท่านั้นเอง

ผมถูกสอนมาว่า แค่เราหวังว่ามันจะดีก็พอ การคาดหวังให้รักเป็นแบบโน้นแบบนี้ คือการใส่กิเลสเข้าไปในความหวังที่สวยงามของเรา

เรียนรู้ที่จะรักแบบ Unconditional รักด้วยความเมตตาที่มีต่อกันครับ แล้วหัวใจเราจะเป็นสุข

รอยยิ้มและความสุขของคนที่เรารัก ทำให้ดอกไม้ในหัวใจของเราผลิบานครับ

Have a happy valentine day ครับ

Anonymous said...

เขียนได้ "ผกามาลิน" มากๆ เลยค่า

จาก

พี่โอ

Anonymous said...

ลืม จะบอกว่าเมนท์แค่นั้น เพราะคนข้างบน เมนท์ตรงใจไปหมดแล้ว

อย่าเอาอัตตา มาตั้งเงื่อนไขกับความรัก แล้วจะได้รับความรักที่เป็นสุข

Anonymous said...

อดเป็นคนแรกเลย แงแง เพราะน้องทอฟแก้ให้พี่ช้า(หุหุ คิดเอาเองแก้อะไร)
อ่านแล้วเหมือนคนประชดรักมาเขียนเลยอ่ะ 555 ล้อเลนนะจ๊า เด๋วมาโพสนิยามความรักของพี่ใหม่นะ ตอนนี้ยังคิดไม่ออกติดไว้ก่อนนะ

Rum ... ^^

Anonymous said...

เอาเถอะน้า ยังไง วันปห่งความรักก็ไม่ได้มีแค่วันนี้วันเดียวนิเนอะ
ถ้าทั้งสองคน รักและเข้าใจกัน ไม่ว่าวันไหนๆ วันที่เท่าไหร่ มันก็คือวันที่เรารักกันเสมอและครับ
บ๊าบบายน้า พี่ชายของผม
N'oat

Anonymous said...

ถ้าความรักมันมีชีวิตมันคงพูดเหมือนกันนะครับว่ามันเหนื่อยที่ต้องตามรับใช้ใครหลายๆ คน เพราะใครๆ ต่างก็ต้องการความรัก ถ้าวาเลนไทน์นี้เราจะมานั่งบ่นว่าขาดคนรู้ใจ ก็ให้คิดซะว่า ให้มันพักงานบ้างซะหนึ่งวัน ไม่เห็นจะเป็นไร เราจะได้มองวันวาเลนไทน์ว่าเป็นแค่วันทำงานวันหนึ่งที่ผ่านไป ไม่เห็นจะต้องไปทุกข์ร้อนอะไรกับมันเลยนี่ครับ

โน๊ต

Wonderland said...

ขําดี ชอบจัง อ่านเเล้วหายเศร้า

Anonymous said...

เลคเชอร์มากๆ คะ อ่านแล้วได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างถ่องแท้ค่ะ แอร๊ยยยย

Anonymous said...

สรุปว่า

แกอยากโสด หรือ มีคู่

อ่านแล้วปวดหัว 55+

แต่เอาเหอะ มีแฟน หรือไม่มี

ก้อยังหายใจกันได้อยู่

จริงชิมิ

Anonymous said...

นิยายรักอมตะของคนที่ชอบกินสตอเบอรี่เปนชีวิตจิตใจ นิสัยเค้าจึงเปรียบเสมือน สตอเบอรี่ที่เค้าชอบกินนั่นแหละค้าบ อย่าคิดมาก...555 HAPPY VALENTINE'S na krub....

Anonymous said...

anyway, at least I believe that the world turn around by the love.

Unknown said...

เร่งยิกๆๆ เชียวให้มาเม้นให้ได้ ^_^
ก่อนจะคลิกเข้ามา คิดอกุศลด้วยจิตใจที่พลุ่งพล่านด้วยไฟริษยา คิดว่าใจคอท็อฟจะไม่สงสารเพื่อนสาวที่ต้องโศกาอาดูรในวันแห่งความรักเลยหรือไง(ฟะ) แต่พออ่านจบ ...ก็นะ ...อ่าจ๊ะ ท็อฟ

ไอ้ที่ว่า ความรัก คืออะไร เป็นเครื่องมือของอะไรเค้าไม่รู้หรอกนะ รู้แต่ว่ารักมากไปมันก็เหนื่อย รักน้อยไปบางทีไม่เราก็เขาก็ต้องเจ็บ หรือมัวแต่ตั้งมั่นคั้นหาความจริงให้ได้ว่ารักคืออะไร เกิดมาเพื่อสนองสิ่งใด ชีวิตก็อาจจะยากไปหน่อยไหม

เค้าว่ารักแต่พอดี และมองโลกให้ง่ายลง บางทีอาจจะทำให้รักเป็นประโยชน์มากขึ้นไหม?

(แหะๆ แต่ที่ว่ามานี่เพื่อนก็ยังทำไม่ได้หรอกนะ ปากว่าตาขยิบ ปริ๊บๆ อยู่เลย>_<)

Anonymous said...

ดีจ้า เลิศ

เหมือนได้เรียนสังคมศึกษาไปด้วย อิอิ

CREAMMMMMMMMMM

Anonymous said...

อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าไม่น่าเสียใจเลยสักนิดที่ตัวเองยังโสด รู้สึกเหมือนได้ทำกบฎเล็กๆในสังคมส่วนใหญ่ยังไงก็ไม่รู้(แม้จะเป็นการปลอบใจก็ตามทีเถอะ!!)

ความรักที่ยิ่งใหญ่นับวันจะยิ่งถูกนิยามให้มีความหมายแคบลงเรื่อยๆเลยเนอะ...เหมือนกับวันวาเลนไทน์ที่เหลือรูปความหมายแค่คน 2 คนรักกันทั้งๆที่จริงเราสามารถมอบความรักให้กับทุกคนที่เรารักได้ตั้งมากมายไม่เฉพาะเจาะจงว่าผัวเมียหรือแฟนหรอก

เขียนอีกนะคะ...ข้อเขียนของพี่ให้อะไรดีๆเยอะแยะเลย

Anonymous said...

ถึงจะไม่มีใครมารัก...

แต่อย่างน้อยก็มีคนให้รัก...

มีความสุขเล็กๆ ในมุมเล็กๆ...

หึๆๆ
(อ่านแล้วงงดีแฮะ)

Anonymous said...

หวาดดีจ้ะ

แหม blog ช่างโดนใจคนโสดอย่างเราเสียนี่กระไร

แต่ถึงจะไม่มีคู่ก็ไม่เคยคิดอิจฉาใครหรอกนะ

และค่อนข้างเห็นด้วยกะบทความมากมาย

อย่าหาว่าเป็นหน้าม้าเลย

เราก็อยู่คนเดียวของเรามาได้ตั้งนมนาน

ถ้าจะอยู่ต่อไป มันก็คงไม่หนักหนาหรอกเนอะ

Anonymous said...

โอ้วววว
ในที่สุดความเป็น "เอ็นจีโอ" ก็ "แอบ" แฝงอยู่กับเด็กสิ่งพิมพ์ทุกๆคน แม้จะเป็นเรื่องรักๆ แต่ก็สอนให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น ชอบๆนะ ท้อฟฟี่
เลิฟแอนด์มิสยา
จุ๊บๆ
เตย

Anonymous said...

จงแก่ชราอย่างอาจหาญ
จงขึ้นคานอย่างมีศักดิ์ศรี
5555

เจ

Anonymous said...

topicนี้ ได้ลง GM ด้วยป่าวค่ะพี่ท๊อฟ 555

ใช่แล้ววาเลนไทน์ก้อแค่วันวันนึง เพราะ คุณน้องไม่มีแฟนไงค่ะคุณพี่เลยลืมไปวันมันคือวาเลนไทน์ ถึงจำได้ก้อไม่ช่วยอะไร!!!

ปล.รูปลิงมันได้ใจมากๆ แต่สู้รูปผู้ชายถอดเสื้อในดิสเพลย์msnพี่ท๊อฟไม่ได้ หุหุหุ

Anonymous said...

หะๆ เพิ่งอัพสเปซเรื่องวันวาเลนไทน์
มาอ่านของพี่ท้อฟแล้ว อึ้งเล็กๆ
นั่นดิ สรุปว่าเราอยากมีแฟนกัน เพราะเหตุผลอะไรกันแน่ เราจำเป็นต้องมี"ใครสักคนที่เกิดมาเพื่อผูกพัน ใครที่เกิดมาคู่กับฉัน..."จริงๆเหรอ?

แต่สำหรับพลอยขอตอบตรงๆอ่ะแหละว่า..ไม่ได้อยากมีแฟน แต่การได้มีใครมาให้ความรู้สึกดีๆต่อกัน โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน มันทำให้มีความสุขซะจริง

ใครๆก็อยากมีความสุขไม่ใช่เหรอ?
ฉบับหน้าเขียนถึง "ความสุข"บ้างมั้ยคะ

Anonymous said...

ดีใจครับ ที่มีคนวิเคราะห์หาคุณค่าของความรักกันแบบจริงๆ จังๆ เสียที่ ไม่ใช่หลับหูหลับตาดำถั่วกันไปเรื่อยๆ
สำหรับพี่ความรักคือการไม่เห็นแกตัว แต่แต่การพยายามคิดเข้าข้างตัวเองก็ต้องพยายามกระตุกตัวเองอยู่บ่อยๆ
ประวัิติศาสตร์เปลี่ยนไม่ได้ครับ แต่อนาคตนั้นไม่แน่
แต่ที่เราเห้นในวันวาเลนไทน์ทุกปีล้วนเป็นเรื่องการตลาดล้วนๆ
ที่กระตุ้นให้คู่รักออกมาบริโภค รูปแบบการแสดงออกของความรักที่จับต้องและมีราคา
จริงๆ แล้วถ้าคนเราจะรักกันวันไหนๆ มันก็รัก แต่ถ้ามันจะหมดรัก ก้ขนาดวันวาเลนไทน์ยังมีคนไปจดทะเบียนหย่านับ10คู่แน่ะ

Anonymous said...

อ่านแล้วก็จริงนะ ลองมองต่างมุมบ้างเผื่อว่าเราจะได้มีมุมมองที่เข้าใจชีวิตได้มากขึ้น เป็นกำลังใจให้นะ toffy

Anonymous said...

โชคดีวาเลนไทน์นี้เก็บตัวไม่เจอใคร
เลยไม่ต้องเห็นภาพบาดตาบาดใจ
แต่ถึงเห็นก็ช่างปะไร รักได้ เลิกได้ เนอะ

Anonymous said...

ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคับ

ส่วนเรื่องความรัก ผมก็เคยคิดนะว่างานแต่งงานที่สวยหรู เชิญแขกมามากมายเพื่อมาเป็นพยานแห่งความรัก หรือว่ามาร่วมรับรู้ว่าความต้องการตัณหาถึงจุดที่ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แหะๆ
แล้วเซ็กส์กับความรัก เป็นของคู่กันมากน้อยแค่ไหน หลายๆคู่ต้องเลิกลากันไปเพราะเรื่องบนเตียง แต่หลายๆคู่ก็สามารถตัดเรื่องดังกล่าวไปได้
ตัวผมเองเคยคิดนะว่า ไม่มีใคร เราก็อยู่ได้ ด้วยว่ามั่นใจในตัวเองสูง
แต่เดี๋ยวนี้กลายกลับเป็นคนขี้เหงาไงมะรู้ อยากจะมีใครเข้ามาในชีวิต เฮ้อ

Anonymous said...

ถ้าฉันเป็นดารา แล้วมีคำถามถามฉันว่า อะไรคือนิยามรักของคุณ กับ คุณดูแลหน้าตาอย่างไรไม่ให้เหี่ยวก่อนวัย ฉันว่าคำถามหลังน่าจะเป็นคำถามที่ตอบง่ายกว่ามาก เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านฉันไม่หาคำตอบนิยามรักของตัวเองเจอเลย ดังนั้นก็เลยไม่รู้เหมือนกันจะตอบยังไงเวลาใครถามแบบนี้ แต่ก็นับว่าโชคดีนะที่ฉันไม่ใช่ดารา

Anonymous said...

สำหรับเพื่อนสาวแล้ว

Love at first fuck จะดีกว่านะ

ของอย่างงี้แก้เหงาได้พลางๆ

แต่ระวังติดนะ เด๋วจะโงหัวไม่ขึ้น อิอิ




คิดถึงเสมอ