Friday, August 31, 2007

คนเก่า ข่าวใหม่ โลกใบเดิม



เป็นความบังเอิญที่ชวนจั๊กกะจี้ไม่เบาที่ฉันได้รับข่าวคราวของบรรดาคนที่ฉันเคยชอบพอในช่วงเวลาติดๆกันภายในสัปดาห์เดียว ขำแรกก็เพราะดันเป็นไล่เลี่ยกันพอดิบพอดี ขำที่สองก็ตรงที่ได้รู้ว่าตัวเองเคยชอบอยู่หลายคน (ซึ่งดีกว่าเกลียดหลายคน...ว่าไหม)

เริ่มจากคนแรก ผู้หญิงที่ฉันเคยรัก (คุณอ่านไม่ผิดแน่นอน) เธอเป็นเพื่อนของฉันตั้งแต่สมัยมัธยมฯ 5 ปีคือระยะเวลาที่หล่อนมานั่งไขว่ห้างอยู่ในใจฉัน และ 0 วินาทีคือระยะเวลาที่ฉันเข้าไปนั่งพับเพียบในใจของหล่อน ฉันต้องยกเครดิตให้เธอที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันลดน้ำหนักลง 30 กิโลได้สำเร็จ และหันมาดูแลสุขภาพอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ปัจจุบันเธอเป็นเพื่อนสาวผู้มีน้องชายสุดหล่อพร้อมดื่ม น่ารับประทานยิ่งนัก (อ๊ายส์!!!) หลังจากปลายปีที่แล้วที่เธอลัดฟ้าไปร่ำเรียนที่ต่างประเทศ ฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวของเธออีกเลย เพิ่งจะได้มาคุยกันอีกครั้งใน Hi5 ตอนนี้เธอมีแฟนแล้ว เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันนี่เอง ถ่ายรูปคู่กันเสียหวานหยดย้อย มีความสุขกันเต็มที่เลยนะคุณ เดี๋ยวเราจะปกป้องน้องชายคุณจากความปลอดภัยทั้งปวง (เพราะเรานี่แหละอันตรายที่สุด อ๊ายส์!!!)
คนที่สองคือแฟนเก่าของฉัน คราวนี้ฉันเทิร์นโปรมาเป็นเกย์อิชาเต็มตัวแล้ว ชายหนุ่มผู้โชคร้ายคนนี้เป็นคริสเตียน (ส่วนฉันเป็นคริสติน่า – ตึง!!) เขามักจะพาฉันไปที่โบสถ์เพื่อสวดอ้อนวอนขอให้ชีวิตเขาพบแต่สิ่งที่ดี ไม่นานนัก เขาก็ไปพบสิ่งที่ดีจนได้ นั่นคือการเลิกกับฉัน หลังจากเลิกกัน เรายังได้คุยกันอย่างเพื่อน เขาอยู่ที่หาดใหญ่ ส่วนฉันอยู่ที่กรุงเทพฯ แน่นอนว่าระยะทางเป็นอุปสรรคในการดำรงความสัมพันธ์ แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังบ้าจี้ถ่อไปหาเขาจนได้ แต่น่าแปลกที่ตั้งแต่ต้นปีมานี้เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ไม่แม้แต่จะโทรหากัน ไม่รู้เพราะอะไร ทุกครั้งที่ฉันได้ยินข่าวไม่ดีเกี่ยวกับการวางระเบิดที่ภาคใต้ ฉันก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้ ฉันพยายามติดต่อเขาแต่ก็เงียบหาย ล่าสุด ฉันเห็นเขาในเว็บเกย์แห่งหนึ่ง โพสรูปอะร้าอร่ามพร้อมเมลติดต่อกลับ ฉันหาได้ติดต่อไปหาเมลเขาแต่อย่างใด ไม่เกี่ยวกับว่าเขามีแฟนแล้ว แต่เป็นเพราะฉันเชื่อว่า เขามีเหตุผลบางอย่างที่ขาดหายกันไป และถ้านั่นจะเป็นเหตุผลที่เขายินดีกับมัน ฉันก็ไม่ขัดข้อง สิ่งที่ตกตะกอนในความรู้สึกของฉันไม่ใช่ความรักอย่างคนเคยผูกพัน แต่เป็นมิตรภาพห่างๆ ที่จะคอยเอาใจช่วยเขาอยู่ไกลๆ
คนต่อมาคือผู้ชายที่ฉันเคยปลื้ม หล่อ ฉลาด เป็นถึงอัจฉริยะข้ามคืน เป็นผู้ชายในฝันทุกกระเบียดนิ้ว ขอสารภาพว่าฉันเคยหาเรื่องไปสัมภาษณ์เขาถึงสองครั้งสองคราเพราะชอบเขามาก จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันรวบรวมความกล้าไปบอกชอบเขา แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากสั่นๆบอกไปหรอก เขาก็ดันพูดเรื่องแฟนของเขาขึ้นมาเสียก่อนจนฉันแทบหงายหลัง ขำตัวเองที่ดันเลือกฤกษ์ยามได้ดีมาก ฉันเดินกลับไปที่รถเพื่อพบว่ากรีนเวฟได้เตรียมเพลง “ไม่อยากให้เธอรู้” รอฉันอยู่แล้ว ฉันกลับบ้านไปพร้อมน้ำตาที่พร่างพรู อยากเป็นเหมือนคนที่เธอจูงมือ แต่มานึกดู นับว่าฉันมาได้ไกลทีเดียว ฉันยังได้รู้จักเขา ได้ทานข้าวกับเขาอย่างพี่น้อง อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าผู้ชายในฝันมีตัวตนล่ะวะ มันคงดีกว่าการที่ฉันไม่เคยเจอคนดีๆกะเขาบ้างเลยในชีวิตจริงไหม เมื่อวันก่อน พี่โอปอลโทรหาฉันบอกว่าพบผู้ชายคนนี้กำลังทานไอติมไอเบอรีถ้วยเดียวกันกับแฟนอย่างกระหนุงกระหนิง และก็ฉันกลับมาที่รถเพื่อพบว่ากรีนเวฟเตรียมเพลง ปาฏิหาริย์” ไว้ให้ฉันฟังเรียบร้อยแล้ว
คนสุดท้ายคือแฟนคนล่าสุดของฉัน คนที่ฉันเคยเล่าให้คุณฟังในเรื่อง 1 เดือน 9 วันนั่นแหละ ฉันได้ข่าวว่าตอนนี้เขากำลังจีบรุ่นน้องของฉันเอง ฉันไม่มีอาการหวงก้างใดๆทั้งนั้น ฉันบอกได้จากใจจริงเลยว่าฉันเอาใจช่วยทั้งคู่ ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องทำได้ดีกว่าตอนที่อยู่กับฉันแน่นอน สู้เว้ย!!!
ฉันรับรู้ข่าวคราวของคนเหล่านี้ด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดี ไม่มีความเศร้าแม้เพียงสักหยาดหยดหนึ่งมาปลอมปน เราต่างก็มีทางเดินชีวิตของตนเอง และทุกคนก็มีความสุขกับมัน บางคนอาจจะทำใจได้ยากเมื่อพบข่าวคราวของคนรักเก่า แต่ฉันไม่รู้จะเศร้าไปทำไม ในเมื่ออีกฝ่ายกำลังมีความสุขนี่หว่า ถ้าจะเสียใจ ฉันควรเสียใจเมื่อเขามีความทุกข์สิ แต่นี่เขามีความสุข ทุกอย่างมันจบในตัวแล้วล่ะ ฉันไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรนอกจากยินดีกับความสุขของเขา ฉันคงไม่มานั่งร้องไห้คร่ำครวญถึงอดีตให้เสียเวลาหรอก อดีตเป็นได้อย่างมากที่สุดก็คือบทเรียน อย่าเอามาบั่นทอนปัจจุบันกันนักเลย ร้องไห้ไป ดูรูปเก่าๆไปแล้วเขากลับมาไหมก็ไม่ เขารับรู้ไหมก็ไม่ โลกนี้ไม่ใช่ของฉันคนเดียวเสียที่ไหนกัน มันก็ต้องแบ่งๆกันไปสิ จะมาได้ทุกอย่างตามที่ฉันต้องการคนเดียวคงไม่ได้หรอก บางครั้งความสุขของคนสองคนมันอาจจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องรักกันหรืออยู่ด้วยกันนี่นา ในเมื่อเขามีความสุขแล้ว ฉันก็ไปมีความสุขของฉันสิ หรือแม้กระทั่งตอนที่ฉันเลิกกันกับแฟน ฉันก็คิดว่าไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นแฟนกันมันไม่มีความสุขนี่หว่า สู้เลิกกันแล้วเราไปมีความสุขกว่าเดิมดีกว่าเป็นไหนๆ แล้วจะมาเศร้าทำไมในเมื่อจบจากตรงนี้แล้ว ฉันและเธอก็กำลังจะไปมีความสุขกันทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ
แค่นี้เราก็ยืนอยู่บนโลกเดียวกันได้อย่างมีความสุขกันทั้งคู่แล้ว...

Saturday, March 24, 2007

นางงามชาตินิยม

นางงามชาตินิยม

1
การประกวดนางงาม ถูกบรรจุเข้าในพจนานุกรมชีวิตของฉันตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว เมื่อได้เห็นลีลาการฟ้อนสาวไหมอันอ่อนช้อยของสาวเจียงใหม่คนหนึ่ง ซึ่งต่อมาคนทั้งประเทศรู้จักเธอในนามของ “น้องอร” อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ นางสาวไทยปีพ.ศ. 2535


ปีนั้นเป็นปีที่บ้านเราเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดมิสยูนิเวอร์สซะด้วย ฉันยังจำภาพเวทีสีชมพูที่มีฉากหลังเป็นภาพดอกกล้วยไม้ควีนสิริกิตติ์ มีสะพานอยู่กลางเวที และสองฝั่งเวทีเป็นรูปปั้นช้างไทยตัวใหญ่ ส่วนรอบ 5 คนสุดท้าย มีศาลาไทยกลางน้ำอันวิจิตรงดงามโผล่ขึ้นมากลางเวทีแทน เพลงประจำการประกวดครั้งนั้นชื่อเพลง ‘สวัสดี’ ฉันจำได้ขนาดว่าผู้ชนะในปีนั้นคือมิสนามิเบียชื่อ มิเชล แม็คลีน รองอันดับ 1 คือมิสโคลัมเบีย รองอันดับ 2 คือมิสอินเดีย ทั้งสามนางใส่ชุดราตรีสีแดงหมด แต่รอบที่ฉันชอบมากที่สุดคือ การประกวดชุดประจำชาติ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้รู้จักประเทศใหม่ๆ อย่าง เวเนซูเอล่า เปอร์โตริโก้ โปแลนด์ ฯลฯ ยิ่งเห็นชุดเวอร์ๆแบบนั้นทำให้เด็กๆอย่างฉันอยากจะรู้ว่าบ้านเมืองเขาจะเวอร์เหมือนเสื้อผ้านั่นไหม

หลังจากได้รู้จัก “น้องอร” ฉันกลับไปอ่านหนังสือขวัญเรือนของแม่จนได้รู้จักนางสาวไทยรุ่นก่อนๆ ทั้งยลดา รองหานาม, ชุติมา นัยนา, ภัสราภรณ์ ชัยมงคล และในปีต่อๆมา ฉันก็ได้รู้จักอีกหลายๆ “น้อง” ไม่ว่าจะเป็นน้องปุ๊ก – ฉัตริกา อุบลศิริ, น้องป๊อบ อารียา สิริโสภา, น้องมะปราง – ภาวดี วิเชียรัตน์ (ซึ่งอีกกี่ปีกี่ชาติพวกเธอก็ยังคงเป็น “น้อง” ต่อไป ไม่เหมือน “พี่ปุ๋ย”) และลุกลามข้ามไปยังมิสไทยแลนด์เวิลด์ ฉันยังจำได้เลยว่าน้องแทน – ธัญญา สื่อสันติสุข มิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 1997 เคยให้สัมภาษณ์ว่าเคล็ดลับความงามของเธอคือการกินดิน!

พอโตขึ้น ฉันก็เริ่มดูการประกวดนางงามน้อยลง เพราะฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าผู้หญิงสวยไม่จำเป็นต้องเป็นนางงาม ผู้หญิงเดินดินบางคนสวยกว่านางสาวไทยอีก และที่สุดแล้ว ฉันพบว่าการประกวดนางงามเป็นสิ่งซ้ำซากน่าเบื่อเป็นที่สุด

2
เมื่อคืนฉันบังเอิญเปิดไปเจอการประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวอร์สพอดี คุณเอ๊ย! ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้!! ไม่ได้ขำที่หน้าตาของคนเข้าประกวดหรอกนะ แต่ฉันสะดุดหัวเราะที่คุณสมบัติต่างๆซึ่งแต่ละนางบรรยายมา ถ้าสังเกตดูแล้ว พวกเธอจะบรรยายตัวเองวนเวียนไม่พ้นเรื่องชอบปฏิบัติธรรม ว่างๆก็จะไปวิปัสสนา รักสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ อยากเห็นคนไทยสามัคคี ใฝ่ฝันอยากเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จ รอยยิ้มคือสิ่งที่ทำให้ทุกคนจำเธอได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดคือคติประจำใจ ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ มาเที่ยวเมืองไทยกันเยอะๆนะคะ

โอ๊ยตาย! ฉันล่ะเชื่อพวกเธอเลย! ถ้าฉันเป็นกรรมการ ฉันคงให้พวกเธอสอบตกตั้งแต่แรก ข้อหาพรีเซนส์ตัวเองได้จืดชืดเกินแกง เป็นฉันน่ะเรอะ ถ้าจับพลัดจับผลูมาประกวดนางงามกะเขาบ้าง ฉันจะกรอกคุณสมบัติตัวเองแบบนี้

“หมายเลข 69 ท้อฟฟี่ My name is Top but I’m bottom. สโลแกนประจำตัวคือ ร้อนแรงทุกสัมผัส ร้อนรักทุกองศา ร้อนฉ่าทุกลีลา เริงร่าทุกนาที ความสามารถพิเศษ สนใจเรื่องเพศเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ชอบสูบบุหรี่แต่ชอบสูบบุรุษ คติประจำใจคือ คันต่อไปจนได้ดี”
ฉันมั่นใจว่าจะไม่มีใครลืมลูกอมเม็ดนี้ลง พอๆกับมั่นใจว่าจะถูกกรรมการเตะโด่งออกนอกเวทีทันใด

ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้อยู่เหมือนกัน ตอนที่ฉันไปแข่งขันชิงแชมป์ไปดูคอนเสิร์ต Mariah Carey ที่สวิสเซอร์แลนด์ของวิทยุคลื่นหนึ่ง เขาให้แต่ละคนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อแม่มาลัยสายสมร มีอยู่นางหนึ่งพรรณนาว่า...

“Mariah Carey คือนางฟ้าของฉัน ยามที่ฉันท้อแท้ฉันจะฟังเพลง Can’t take that away ของเธอ มันทำให้ฉันยิ้มสู้ทั้งน้ำตา มันเหมือนกับ Mariah มากระซิบข้างหูฉันว่า อย่ายอมแพ้นะจ๊ะคนดี อย่ายอมให้ใครมาย่ำยีหรือบอกว่าเธอทำไม่ได้ เพราะเธอมีคุณค่าในตัวเอง ฉันอยากจะบอกกับ Mariah ว่า ขอบคุณมากที่เธอเกิดมาเพื่อเป็นกำลังใจให้กับฉัน ฉันจะไม่มีวันท้อแท้ เหมือนที่คุณไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ...”

น้ำตาของหล่อนหยดติ๋งลงมาเป็นการปิดท้าย ทุกคนในห้องนั้นปรบมือด้วยความซาบซึ้ง เอาล่ะ แล้วก็ถึงตาฉัน...
“เวลาฉันอารมณ์ไม่ดี ฉันจะเปิดมิวสิควิดีโอของ Mariah ดู ฉันว่ามันตลกโคตรๆเลยล่ะ คนอาร้ายยย....ทำไปได้แต่ละอย่าง ชอบคิดว่าตัวเองเซ็กซี่ โอ๊ย! ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำให้คนอื่นเขาหัวเราะชอบใจได้ขนาดนี้ เป็นแบบนี้แหละฉันถึงรักเธอจริงๆพับผ่าสิ ฉันอยากแนะนำว่ามิวสิควิดีโอของหล่อนเป็นยาบำบัดโรคซึมเศร้าได้ขนานแท้ และมันเป็นหนังตลกไม่รู้ตัวชนิดที่บางครั้งอาจทำให้มุขของ Jim Carrey ตลกอัจฉริยะที่นามสกุลดันพ้องกับเธอกลายเป็นประโยคบอกเล่าไปได้เลย...”

ทุกคนในห้องอึ้ง – อึ้ง – อึ้ง นางฟ้าของคนเมื่อกี้เพิ่งถูกฉันล้อเลียนซะจนขำไม่ออก แต่ฉันสาบานได้ว่าฉันชื่นชมแม่มาลัยจริงจริ๊ง พอฉันเห็นสีหน้างงรับประทานแบบนั้น ฉันก็คิดว่า ชมหล่อนแบบอ้อมๆแบบนี้คนอาจจะไม่เข้าใจ สงสัยฉันคงต้องชมหล่อนแบบตรงๆบ้างซะแล้ว
“เอ่อ...ฉันก็ชอบเพลงของเธอนะ เธอแต่งเพลงเอง เพราะดี เสียงโห่ฮี้โห่ของเธอนั่นฉันก็ว่าเจ๋งดีว่ะ”

สรุปว่า ฉันอดไปสวิสเซอร์แลนด์ ส่วนอีกคนได้ไปแทน!

3
ไม่ต่างกับเวทีออสการ์ที่ถ้าอยากได้รางวัลตุ๊กตาทอง คุณต้องสร้างหนังสู้ชีวิต (Beautiful mind, Braveheart) ยิ่งเป็นหนังพีเรียดด้วยยิ่งดีใหญ่ (Titinaic, Shakespeare in love, The English Patient) มีตัวละครพิกลพิการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (Forrest Gump, Beautiful mind, Rain man, Philadelphia)มีฉากระเบิดอารมณ์อันหนักหน่วง (Mystic River, Erin Brockovich) อย่าทำหนังฟอร์มเล็ก แต่จงทำหนังโปรดักชั่นอลังการ (Gladiator, Chicago) เวทีการประกวดนางงามก็มีคำตอบของมันอยู่แล้วตั้งแต่ต้น พวกเธอจึงเลือกนำเสนอตัวเองตามแบบฉบับสูตรสำเร็จของนางงาม ใครที่บังอาจแหวกกฎ กติกา มารยาทก็มีอันต้องตกกระป๋องไป ด้วยเหตุนี้ ฉันถึงเข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงพากันนั่งวิปัสสนา รักสัตว์และสันติภาพขึ้นมาทันใด

ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ไอ้รางวัล “งามอย่างไทย” และ “รักษ์ความเป็นไทย” นี่มันเอาอะไรมาวัด “ความเป็นไทย” เวลาเราพูดถึงกิริยามารยาทงดงามตามแบบฉบับหญิงไทย เรามักจะนึกถึงผู้หญิงอย่างแม่พลอย ทำอะไรก็อ่อนช้อยไปหมด แต่อย่าลืมนะครับว่าผู้หญิงไทยแบบนั้นเป็นอยู่ในวังเท่านั้น ไม่ใช่ประชากรหญิงไทยส่วนใหญ่ (ซึ่งไม่ได้มีกิริยาเรี่ยมเร้เรไรขนาดนั้น) ด้วยซ้ำ ความที่ชนชั้นสูงเป็นผู้มีอำนาจ เขาก็ต้องเลือกเอาวัฒนธรรมของเขามาเป็นวัฒนธรรมหลักของประเทศ และผู้หญิงอย่างแม่พลอยก็มีแต่ในราชสำนักของกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้น ยังไม่ได้พูดไปถึงกิริยาของผู้หญิงเชียงใหม่ ปัตตานี ลพบุรี ฯลฯ ซึ่งล้วนมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง แต่ก็ไปเหมาเอาเองว่าแม่พลอยนี่แหละคือผู้หญิงไทยของแท้แน่นอน

คำว่า “งดงามตามแบบฉบับหญิงไทย” จึงสามารถถอดรหัสได้ว่า “มีกิริยาเหมือนสาวชาววังกรุงรัตนโกสินทร์ในอดีต” เท่านั้น ไม่สามารถกินความหมายถึงผู้หญิงไทยทั้งประเทศได้

ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นการกีดกันคนส่วนหนึ่ง (ซึ่งไม่น้อยเลย) ให้เข้าถึงความเป็นพลเมืองของชาติไม่ได้ เพราะนั่นแปลว่า ถ้าคุณเป็นอาหมวยหรือฝรั่งตาสีเทอร์ควอยซ์ที่เกิดในแผ่นดินไทย ยังไงซะคุณก็ไม่มีทาง “งดงามตามแบบฉบับของหญิงไทย” ได้ (ซึ่งมันจริงซะที่ไหนล่ะ)

การประกวดนางงามที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องสวยๆงามๆ แต่หารู้ไม่ว่ามันคือเวทีที่เอาชาตินิยมมาปั่นหัวทั้งคนดูและคนประกวด

ฉันกำลังพยายามหาคำตอบว่า เราจะประกวดหา “ใคร” และหาไป “ทำไม” ถ้าเรากำลังจะบอกว่า หาผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศไปประกวดหาผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ฉันก็ขอตั้งคำถามว่า ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกน่ะ มัน “โลก” ของใครกันล่ะ เพราะประกวดประขันกันทีไรก็มีแต่สาวละตินอเมริกากวาดรางวัลไปทุกที ในเมื่อมาตรฐานความงามที่ใช้วัดบนเวทีนี้ดันใช้ไม้บรรทัดแบบเดียวกับยุคล่าอาณานิคม ที่ชาติตะวันตกเอาตัวเองเป็นมาตรฐานวัดความเจริญนั่นแหละ พูดง่ายๆก็คือ ถ้าสมการความสวยคือ ขายาว ตัวสูง หน้าอกใหญ่ ฯลฯ ผู้หญิงเอเชียมันจะเอาอะไรไปสู้ล่ะ ยังไม่รวมถึงเรื่อง “การเมือง” ในเวทีขาอ่อนที่ใน 10 คนที่เข้ารอบสุดท้าย ต้องเฉลี่ยไปทุกทวีป แต่อเมริกาซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การประกวดต้องได้เข้ารอบเสมอ (ก็ใครจะทำไม!) แล้วแบบนี้มันจะเรียกว่าสวยที่สุดในโลกได้จริงเรอะ!

ก็มีบ้านเรานี่แหละที่ประกวดนางงามกันเป็นล่ำเป็นสันเหลือเกิน ฉันว่าน้องฟ้า นาตาลี เธออ่านเกมได้ขาดจริงๆ ก็ที่อื่น (แม้กระทั่งแคนาดา บ้านของเธอ) ไม่เห็นให้ความสำคัญกับนางงามจักรวาลเท่านี้ เพราะเขารู้ว่ามันก็กะอีแค่รายการโทรทัศน์รายการหนึ่งที่ปั่นเอาคำว่า “สวยที่สุดในจักรวาล” มาเป็นมูลค่าเพิ่มเท่านั้นนั่นแหละ เพราะอย่างนั้นเธอถึงมาปักหลักอยู่ที่เมืองไทยนี่เสียเลย

4
ทราบไหมว่า ตอนนี้ที่ประเทศตามหมู่เกาะในแปซิฟิกใต้มีประชากรที่เป็นโรคอ้วนมากเกินกว่า 90% ไม่ใช่เพราะพวกเขาขี้เกียจอย่างที่คนชอบหาว่าคนอ้วนเป็น แต่เพราะวัฒนธรรมของเขาถือว่า ความอ้วนคือความงาม เช่นเดียวกับที่คนกะเกรี่ยงถือว่าคอยิ่งยาวยิ่งสวยนั่นแหละ
เจอแบบนี้ รับรองว่าน้องฟ้าและอีกหลายๆน้องไม่มีวัน “เกิด” ได้เลย

5
บุ๋ม-ปนัดดา อดีตนางสาวไทย พูดถึงการถ่ายแบบชุดว่ายน้ำสุดวาบหวิวของเธอว่า
“ทำไมต้องคิดว่าถ้าคนแต่งตัวโป๊แล้วคือคนไม่มีสมอง ทำไมฉลาดด้วยแล้วเซ็กซี่ด้วยจะเป็นไปไม่ได้ บุ๋มจะเป็นให้หมดนี่ให้ดู”
ผู้หญิงที่คิดได้แบบนี้ต่างหากที่ฉันมองหาใน “ผู้หญิงไทย”

Tuesday, February 20, 2007

Love at first sight & Lust at first sight




1
"เชี่ย! นี่มันชีวิตกูชัดๆ!"
เมื่อคืนเป็นอีกคืนที่ผมปล่อยตัวเองไปกับโลกของ Sex & the City (อย่าถามเลยว่าผมเหมือนใครในเรื่องนี้ ฮ่าๆๆ!) ตอนที่ผมดูชื่อ ‘Chicken Dance’ ว่าด้วยเรื่องเพื่อนของชาร์ล็อตซึ่งตกหลุมรักคู่เดทของมิแรนด้าทันทีที่พบ และในอีก 2 อาทิตย์ต่อมา เขาและเธอก็ตกลงแต่งงานกันอย่างสายฟ้าแลบ แครีเล่าเรื่องนี้ให้บิ๊กฟัง คำพูดของบิ๊กทำเอาผมเก็บไปคิดวนเวียนอยู่ทั้งคืน
“I don’t believe in love at first sight but I believe in lust at first sight”
จบประโยคนี้ปั๊บ ก็ตัดเป็นความคิดเห็นของสาวๆหลายๆคน ผู้หญิงคนหนึ่งพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า
“คนที่ไม่เชื่อในรักแรกพบก็เพราะเขายังไม่เคยเจอกับตัวเองน่ะสิ”

2
บ่ายแก่ๆของวันอังคารที่น่าเบื่อ ผมนั่งทำงานอยู่เงียบๆ จำไม่ได้ว่าพี่ๆที่นั่งเม้าท์อยู่ใกล้ๆคุยกันเรื่องอะไรอยู่ แต่มีประโยคหนึ่งจากบก.ที่ดันมาสะดุดหูผมเอาจังเบ้อเร่อ และผมก็อดคิดถึงมันไม่ได้
“ผู้ชายไม่ต้องการความรักหรอก แค่ต้องการเซ็กส์และความเข้าใจเท่านั้นเอง”


3
เท่าที่ผมเห็น ผู้ชายมักสามารถแยกความรักและความใคร่ได้อย่างชัดเจน ผู้ชายมีผู้หญิงได้หลายคน และแต่ละคนล้วนมีตำแหน่งแห่งที่อยู่ในใจของผู้ชาย เช่น ผู้หญิงคนนี้มีไว้เพื่อบูชา ผู้หญิงคนนี้มีไว้เป็นนางบำเรอ ส่วนผู้หญิงคนนั้นมีไว้เป็นภรรยา ฯลฯ ในขณะที่ผู้หญิงถูกสอนให้หลอมรวมความรักกับความใคร่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่น ผู้หญิงมักเชื่อว่าต้องมีเซ็กส์กับผู้ชายที่เธอรักเท่านั้น ผู้หญิงจึงใช้เซ็กส์เป็นเครื่องแสดงว่าเธอรักใครสักคนแล้ว และพร้อมจะเป็นของของเขา (ซึ่งเอาจริงๆ เธอไม่ใช่ “ของ” และเธอก็ไม่ใช่ “ของใคร” สักกะหน่อย)

ไม่ได้บอกว่าใครดีหรือไม่ดีกว่ากัน เพียงแต่ผมรู้สึกว่า ทั้งรักและใคร่มันน่าจะมาเป็นเนื้อเดียวกันไม่ใช่หรือ (หมายถึงในความสัมพันธ์แบบผัวเมียน่ะนะ) มันคงไม่ได้แยกกันเป็นขาวกับดำได้หมดหรอก ซึ่งนั่นแปลว่า รักไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐที่สุด และใคร่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวทรามที่สุด ผมนึกไม่ค่อยออกว่ารักแบบไม่มีใคร่เป็นอย่างไร ยังไงมันก็มีความใคร่เจืออยู่ เพียงแต่จะมากจะน้อยเท่านั้นเอง

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าของมันมาคู่กันจริง แล้วเราจะอธิบายความสัมพันธ์แบบใคร่ล้วนๆซึ่งมีอยู่จริงได้อย่างไรล่ะ เราเชื่อกันว่าความสัมพันธ์แบบใคร่ล้วนๆไม่มีวันยืดยาว เพราะไม่ได้มีความรักเกาะเกี่ยวผูกพันกันอยู่ แต่เคยได้ยินความสัมพันธ์แบบ ‘Fuck buddy’ ไหมครับ Fuck buddy ก็คือคู่เดทที่ดูท่าว่าจะไปไม่รอดในเรื่องรัก แต่เข้าขากันดีเหลือเกินเวลาอยู่บนเตียง คุณทั้งสอง (อย่างน้อยก็สอง!) จึงเกี่ยวพันกันด้วยเซ็กส์ (ที่ไม่มีรัก?) และเท่าที่ผมทราบ Fuck buddy หลายคู่ก็ยังคงเป็น buddy ได้ยาวนานทีเดียว บางที Fuck buddy ก็อาจจะเป็นเหมือนที่พี่บก.บอกว่า ไม่ต้องการความรัก แต่ต้องการเซ็กส์และความเข้าใจเท่านั้นเอง

4
ผมเคยมีทั้ง Love at first sight และ Lust at first sight ผมคิดอย่างบิ๊กว่า Lust at first sight มีจริง แต่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เรารู้สึกในวินาทีที่สองสายตาประสานกันมันคือ Love หรือ Lust กันแน่ ถ้าความรักคือความรู้สึกกำซาบลึกซึ้ง คนเราจะสามารถรักใครทันทีเชียวหรือ ผมคิดเอาเองว่าไอ้ความรู้สึกนั้นมันน่าจะเป็น Lust at first sight เพียงแต่ Lust นี้มันอาจจะต่างจาก Lust อื่นๆที่เคยพบ อาจเป็น Lust ที่วางตัวอยู่ใกล้ Love สักหน่อยจนพัฒนาเป็น Love ได้ ผมคิดว่าความรักจะเกิดขึ้นได้น่าจะต้องใช้เวลามากกว่าเพียงชั่ววินาทีของสายตา แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมคิดว่าทั้งรักและใคร่ก็ต้องการความเข้าใจมาค้ำยันให้ความสัมพันธ์ไปด้วยกันได้

เคยมีนักวิทยาศาสตร์พูดว่า ทั้งความรักและความใคร่ก็เกิดจากการหลั่งสารเคมีในสมองเหมือนกันนั่นแหละ

คุณยังจะรักผมไหมครับ ถ้าความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้คุณเกิดจากต่อมในสมองมันดันสั่งการให้เป็นแบบนั้น...เท่านั้นเอง

Tuesday, February 13, 2007

เรื่องของเรา (เรอะ!?)


ถึง…”ความรัก”

เดาอย่างไม่ต้องเดา วันที่ 14 กุมภานี้คงทำให้ระดับน้ำตาลในหัวใจของใครหลายคู่พุ่งพรวด ซึ่งเป็นผลให้อุณหภูมิของดวงตาอีกหลายคู่สูงขึ้นจนคล้ายธาตุไฟจะแตกไปตามกัน ก็เพราะเธอคนเดียวเชียวแหละ!

นี่ยิ่งเขยิบใกล้วันแห่งความรักเข้ามาเท่าไร คำถามประเภท “จะทำอะไรในวันวาเลนไทน์” ยิ่งถูกถามดังมากขึ้นจนฉันเอียน ดูสิ! ใครๆก็พูดถึงแต่เธอๆๆๆทั้งน้าน... กวาดตาอ่านนิตยสารก็จะเจอวิธีการเลือกของขวัญเพื่อเซอร์ไพรส์แฟน ไปจนถึง...คนโสดจะอยู่อย่างไรในวันแห่งความรัก (อ๊ายส์! มันถึงขนาดต้องคิดว่าจะ “อยู่อย่างไร” เชียวเรอะ!)

ครั้นหนีไปฟังวิทยุก็คงไม่พ้นเพลงรักช้าซึ้งคอยตามสะกดจิตอยู่ทุกคลื่น ส่วนรายการโทรทัศน์ก็จะเต็มไปด้วยคู่รักดาราออกมาเล่าประสบการณ์ความรักอันหวานชื่นฉ่ำแฉะให้คนดูอิจฉาเล่น (ตอนเลิกกันก็ออกมาเจื้อยแจ้วแบบนี้บ้างเซ่)

และเชื่อสิ ฉันเอาหัวเน่าๆเป็นประกัน มันต้องมีใครสักคนทะลึ่งพูดว่า “ส่วนคนโสดก็อย่างเสียใจไปนะคะ...บลาๆๆ คริๆๆๆ” เชอะ! พูดมาได้!

เอาล่ะ ที่ฉันเขียนจดหมายมาหาเธอในวันนี้ ฉันแค่อยากจะชวนเธอทะเลาะ เอ้ย! ชวนเธอคุยด้วยสักหน่อย ทำไมเวลาพูดถึง “ความรัก” ทีไร คนมักตีวงความหมายอยู่แค่เรื่องของคน 2 คนแบบผัวเดียวเมียเดียวโดยอัตโนมัติ เราเชื่อ (และถูกทำให้เชื่อ) ว่าความรักคือสิ่งบริสุทธิ์ โดยมีชีวิตคู่ที่รักกันยืนยาวราวนิรันดร์คือนิพพานสูงสุดของความสัมพันธ์ที่แม้ความตายก็มิอาจพราก ส่วนการไร้คู่ถือเป็นความน่าเจ็บปวด น่าละอายและน่าเหยียดหยามในคราวเดียวกัน (มาเป็นแพ็คเกจ)

ถ้าการลงเอยด้วยชีวิตคู่คือจุดสุกงอมของความสัมพันธ์ และดอกผลของความรักคือทายาทสืบสกุลจริงล่ะก็ ฉันขอถามหน่อยเถอะว่า แล้วเธอจะอธิบายตัวเองอย่างไร ในเมื่อเงื่อนไขของการแต่งงานของคนสมัยก่อนไม่ใช่เป็นเพราะคนสองคนมารักกัน ฉันเป็นของของเธอ คู่แท้ที่หาจนเจอ แต่เป็นเพราะต้องการแรงงาน (ลูก) มาเพิ่มผลผลิตในท้องไร่ท้องนา ไปจนถึงเพื่อรักษาและคานอำนาจของบ้านเมือง เช่น เจ้าเมืองยกลูกสาวให้กษัตริย์ แสดงถึงความจงรักภักดีของเมืองขึ้น การที่กษัตริย์ในสมัยก่อนจะมีชายาเป็นสิบเป็นร้อยจึงไม่ใช่เรื่องความตัณหาจัดมักมากในกาม แถมเขายังถือว่าเป็นเมียน้อยเจ้าพระยายังมีหน้ามีตามากกว่าเป็นเมียหลวงไพร่ชั้นเลวเสียอีก การแต่งงานจึงเป็นเครื่องเบ่งอำนาจของคนสมัยนั้นด้วย อ๊ายส์! ฟังแล้วไม่โรแมนติคเลยสักกะติ๊ด!

ถ้าคนสมัยนั้นแต่งงานกันด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่เพราะเธอ แล้วสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นความรักเกิดขึ้นอย่างไรในประวัติศาสตร์ เอาล่ะ ไม่ใช่ฉันไม่เชื่อว่าความรักมีอยู่จริงบนโลก เพียงแต่ฉันอยากรู้ว่า ความรักแบบที่คนปัจจุบันนิยามไว้ให้เธอน่ะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร และวางตัวในบริบทใดของสังคม

ฉันเชื่อของฉันว่า โลกทัศน์ของความรักแบบชั่วฟ้าดินสลายเป็นมรดกตกทอดมาจากยุควิคตอเรียน เรื่องเพศส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็สืบเนื่องจากยุคนี้ทั้งนั้นแหละ ทั้งเรื่องระบบผัวเดียวเมียเดียว การให้คุณค่ากับสาวพรหมจรรย์ การมองเรื่องเพศเป็นเรื่องผิดบาป และอีกสารพัด พี่ไทยเราน่ะมาโมเมเองทั้งเพ เคลมว่าเป็นของไทยแท้แต่โบราณซะได้! ยุคนั้นเขาเคร่งครัดเรื่องเซ็กส์จะตาย เซ็กส์ที่ไม่ได้ทำให้เกิดลูกถือเป็นความนอกรีต เซ็กส์ของเกย์ เซ็กส์ของคนโสด ก็เลวร้ายไปหมดนั่นแหละเธอ เขาถือผู้หญิงจะถือว่าเป็น “คน” ได้ก็เมื่อแต่งงานมีลูกนั่นแหละ ในเมื่อการมีคู่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึก (คือไม่ต้องรอให้รักใครก่อนแล้วค่อยแต่งงานกัน) แต่เป็นเพราะความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง คนสมัยนั้นเลยไม่ต้องมานั่งกังวลเท่าคนรุ่นฉันไง ไม่ทันไรก็โดนจับแต่งงานหมดแล้ว

แม้แต่การแพทย์สมัยนั้นยังถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมประชากรเลยนะเธอ ก็มีอย่างที่ไหน เป็นโสดอยู่ดีๆ หมอก็ดันมาบอกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์หรือไม่ได้มีบุตร ต่อไปจะเป็นโรคในช่องคลอดได้ ฉันเกิดเป็นผู้หญิงสมัยนั้นคงปวดหัวตายเลย จะมีเซ็กส์ก็ห้าม จะไม่มีเซ็กส์ก็ห้าม ตกลงจะเอายังไงแน่ล่ะเพ่!

เมืองไทยหลังยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เช่นกัน เรารณรงค์ให้คนมีลูกกันเยอะๆ เพราะเชื่อว่าการมีประชากรมากๆแสดงถึงความมั่งคั่งของประเทศ แถมยังจะช่วยให้มีแรงงานเพิ่มขึ้นอีก อ้าว! แล้วจะทำยังไงได้ล่ะถึงจะมีลูก (แบบที่ไม่ต้องโดนด่าด้วย) ก็ไม่พ้นอีหรอบเดิมว่าต้องแต่งงานอีกนั่นแหละ

ความคิดเรื่องการอยากให้คนมีคู่ยังสืบทอดมาถึงปัจจุบัน วรรณกรรมน้ำเน่าทั้งหลายเป็นหลักฐานที่ดีว่า จุดหมายปลายทางของพระเอกและนางเอกคือการแต่งงาน ใครๆก็อยากเป็นอย่างพระเอกนางเอกทั้งนั้นแหละ สิ่งเหล่านี้ยิ่งสร้างให้สถาบันการแต่งงานมีอำนาจมากขึ้น และมากพอจะหักหาญเอาชีวิตของหลายคนเป็นตัวประกันได้เลยทีเดียว

นอกเหนือจากนั้น ตัวละครที่เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในชีวิตคนปัจจุบันคือความเหงา ถ้าแรงผลักดันที่ทำให้คนในปัจจุบันอยากถีบตัวเองจากสถานะโสดคือความเหงา ฉันชักอยากรู้แล้วสิว่าความเหงาแบบปัจจุบันมันแทรกตัวเข้ามาได้อย่างไร เพราะฉันรู้สึกว่าเราเพิ่งมีเพลงเกี่ยวกับความเหงา บทกวีเหงาๆ และหนังรักขายอารมณ์เหงาอย่างเป็นกิจจะลักษณะก็เมื่อไม่กี่สิบปีนี้เท่านั้นเอง

อาจเป็นเพราะความเจริญที่กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองใหญ่นี่ล่ะมั้ง ทำให้สมาชิกครอบครัวใหญ่ในชนบทต้องออกมาตั้งรกรากใหม่คนเดียวลำพังในเมือง ความเป็นครอบครัวใหญ่อย่างในอดีตจึงเลือนรางไปจากสังคมไทยเข้าไปทุกที เลยเถิดไปถึงความเจริญทางวัตถุที่ทำให้คนเราเบาหวิวทางจิตวิญญาณอีกนั่น เหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ คนรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น และมันช่างโป๊ะเชะกับอารมณ์อยากมีแฟนขึ้นมาพอดิบพอดีเหมือนผีเน่ากับโลงผุ คู่หนุ่มกับตุ่มชั่ว

เหตุผลหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ชอบใช้เพื่ออธิบายหน้าที่ของการมีคู่ก็คือ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ฉันฟังแล้วขำก๊าก พูดยังกะคุณยายวรนาทพ่นตะขาบถ่ายทอดทายาทอสูร ฉันอยากจะถามคนสมัยก่อนและสมัยนี้เหมือนกันว่า ไอ้ที่แต่งงานกัน ไอ้ที่ผสมพันธุ์กันน่ะ คิดถึงขนาดกลัวมนุษย์จะหมดโลกเชียวเรอะ!

ฉันเลยชักไม่แน่ใจแล้วสิว่า ไอ้อาการอยากมีแฟนจริงๆมันเกิดจากความรู้สึกข้างในจริงๆของเราหรือเปล่า ผู้คนโหยหาเธอเพราะต้องการเธอจริงๆ หรือที่แท้มันเป็นแค่การถูกกระแสปั่นให้เราอยากมีใครสักคนเพื่อตอบสนองกับระบบบางอย่างของสังคมเท่านั้น

ถ้าการแต่งงานไม่ได้มีคุณค่าอย่างที่เราเคยเชิดชูบูชา แต่เป็นเราต่างหากที่ไปปลุกเสกให้มัน"ขลัง" ทั้งที่มันเคยเป็นเพียงแค่การ “เอา” กันเพื่อหาคนมาทำไร่ไถนาเพิ่ม เป็นเพียงแค่การ “เอา” กันเพื่อต่อรองผลประโยชน์บางอย่าง เป็นแค่การ “เอา” กันเพื่อรับใช้ระบบสังคมอย่างหนึ่งเท่านั้น มันจะมีความหมายอะไรให้เราเฝ้าคร่ำครวญยามที่ไม่มีใคร และจะทนแบกมันไว้กดทับตัวตนของเราทำไมล่ะฟะ!

ความรักสูงส่งขนาดนั้นถึงขนาดที่เราต้องเอาเป็นหลักชัยในชีวิตเชียวหรือ หรือที่จริงมันก็แค่เครื่องมือที่ถูกปั่นมูลค่าเพิ่มเพื่อประโยชน์บางอย่าง และถ้าความรู้สึกอยากมีใครที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ในวันแห่งความรักนี้มันเป็นเรื่องที่ถูกปรุงแต่งจากสังคมทั้งหมด (เอาวะ! อย่างน้อยก็ขายเพลงรัก หนังรักได้เงินสะบัด!) แม้กระทั่งตัวเธอเองก็เถอะก็คือสิ่งที่พวกฉันสร้างขึ้น เธอจะว่ายังไงล่ะ ฮึ!

ฉันถึงปฏิเสธว่าความรักไม่ใช่เรื่องของคน 2 คนหรอก แต่ยังเกี่ยวโยงไปถึงค่านิยมและวัฒนธรรมแต่ชาติปางไหนอีก ก็ลำพังไอ้การที่ “ฉันรักเธอ” แค่นี้ยังต้องลากไปเอาผลผลิตทางประวัติศาสตร์มาอธิบายกันเลย เธอยังคิดว่ารักเป็นเรื่องของคน 2 คนอีกเหรอ

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เธอคงยิ้มเยาะหาว่าเป็นเพราะฉันอกหักหรือหาคนมานอนออเซาะในวันวาเลนไทน์ไม่ได้ ฉันขอตอบเชิดๆแบบติ๊นาว่า เปล่าหรอกนะ (ยะ) ฉันไม่ได้อิจฉาคนที่รักกัน ฉันแค่อยากปอกเปลือกเปลือยความรักในแง่อื่นบ้าง ฉันเห็นคนไม่มีแฟนทั้งหลายบ่นอิดออดไม่อยากให้มีวันวาเลนไทน์แล้วเหนื่อยใจแทนเธอจริงๆว่ะ พอๆกับที่เห็นคนตักตวงกำไรจากวันนี้แล้วแอบเคืองนั่นแหละเธอ

ที่จริงมันก็อีแค่วันๆเดียวไม่ต่างกับอีก 364 วันที่เหลือ ฉันไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหน (นอกจากจะใช้เป็นข้ออ้างดีๆในการเสียตัวซักที--ซึ่งฉันไม่เห็นต้องใช้มันเล้ยย!)

นี่ถ้าฉันรู้ทันเธอซะแบบนี้ ฉันไม่เสียน้ำตาให้เธอสักหยดหรอก!

รักแกจริงจริ๊ง...พบผ่าสิ!

จาก...Toffy in Love